อดิเรก
อารี วัชรเวียงชัย. (2551) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
วัฒนธรรม และทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปากับแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์. วิทยานิพนธ์ ค.ม.(การจัดการเรียนรู้). พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครรีอยุธยา.อาจารย์ที่ปรึกษา : รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร แมลงภู่. ดร.ชิดชัย สนั่นเสียง
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาวัฒนธรรม และทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปากับแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบางกระทิง (พิศิษฐ์วิทยาคาร) และโรงเรียนวัดโพธิ์(แจ่มวิทยาคาร) จำนวน 38 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 2 ซึ่งเป็นห้องเรียนตามสภาพจริง กลุ่มทดลอง 1 จัดการเรียนรู้แบบซิปปาและกลุ่มทดลอง 2 จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มสัมพันธ์ ระยะเวลาในการทดลอง 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา แผนจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดทักษะทางสังคม และแบบสังเกตพฤตกรรมทักษะทางสังคม ดำเนินการทดลองโดยใช้แผนแบบกึ่งทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนหลายตัวแปร (MANCOVA) โดยใช้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคม ก่อนเรียนเป็นตัวแปรร่วม
ผลการวิจัยพบว่า
1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาวัฒนธรรม หลังการเรียนรู้ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา สูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปามีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
2.ทักษะทางสังคมหลังการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบ
กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ สูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา
ABSTRACT
The purpose of this research was to compare the learning achievement on Socail Studies, religions, and culture , and social skills of Prathomsuksa five student student taught by Cippa Model and Group Process. The sample groups consisted of 38 Prathomsuksa five students at Bangkating and Wat Pho School,studying in the 2 semester of the academic year 2007 under the office of Phranakhon si Ayutthaya Educational Sevice Area 2. The student were divided into two experimental proups. The first group was taught by Cippa Model while the second one was taught by Group Process. Duration of the experiment was 18 hours. The data collection was performed using a teaching plan employing Cippa Model, a teaching plan employing Group Process, a learning achievement test, a social skill test and social behavior observation. It is a semi-experimental research. Statistical analysis was performed in terms of multiple analysis of covariance (MANCOVA) using pre-learning achievement and pre-social skills as covariance.
The research results are revealed as follows :
1.The learning achievement in social Studies, Religions and Culture of Prathomsuksa five
students after teaching by Cippa Model was higher than that of the student after teaching by Group Process with a statistically significant level of .05.
2.The social skills of Prathomsuksa five student after teaching by Group Process was higher
than that of the student after teaching by Cippa Model witch a statistically significant level of .05.
บทนำ
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ได้มุ่งเน้นผู้เรียนทุกคนให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด มุ่งปลูกฝังด้านปัญญา พัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียนให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ โดยยึดความแตกต่างระหว่างบุคคลมุ่งเน้นจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงเพื่อก่อเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และด้านสังคมเป็นสำคัญ สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ชุมชน และสังคม (กระทรวงศึกษาธิการ. 2544: 12-13) หลักสูตรในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาวัฒนธรรม มีองค์ประกอบที่สำคัญสี่ประการคือ ประการที่หนึ่งความรู้ ประการที่สอง คือ ทักษะกระบวนการ ได้แก่ทักษะทางวิชาการ มีทักษะในการฟัง พูด อ่าน เขียน คิด และทักษะทางสังคม ได้แก่การร่วมมือและการมีส่วนร่วมในสังคม องค์ประกอบที่สามคือ คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สี่คือ บทบาทและความรับผิดชอบของบุคคล (สำนักงานทดสอบทางการศึกษา.2546 : 1-3)
สภาพการจัดการเรียนรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะนักเรียนส่วนมากมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ต่ำกว่าเกณฑ์ ดังรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ (Nation test) ปีการศึกษา 2549 (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2. 2550 : 1) ได้สรุปข้อมูลการประเมินคุณภาพการศึกษาของนักเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ในกลุ่มโรงเรียนแควน้อย พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เท่ากับร้อยละ 69.85 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์พอใช้ และจากรายงานการประเมินคุณภาพภายนอกของโรงเรียน ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 มาตรฐานที่ 6 พบว่านักเรียนมีทักษะในการทำงาน รักการทำงานสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริตอยู่ในระดับดี(สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา 2550 : 10) ซึ่งเมื่อวิเคราะห์รายละเอียดของปัญหานี้พบว่านักเรียนมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และทักษะการแก้ปัญหา ยังอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ทั้งนี้อาจเกิดจากข้อบกพร่องของการจัดการเรียนรู้ หรืออาจเดจากข้อบกพร่องในตัวนักเรียนที่ไม่สามารถนำความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่มีอยู่มาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือเรียกได้ว่า ขาดทักษะทางสังคม
การจัดการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งคือ แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ (Group Process) ทศวร มณีขำ (2539: 97-98) ได้กล่าวถึงลักษณะของการสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ ว่าเป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้พฤติกรรมจากกลุ่มรู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ รู้จักการทำงานร่วมกันตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้ตามวิถีทางแหงประชาธิปไตย สามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่คนเราอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคม อีกทั้งให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะนิสัยส่วนตัวเกี่ยวกับการรู้ถึงวิธี คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น
จากการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ พบว่าการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เป็นการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ เพราะเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง มีการทำงานเป็นกลุ่ม นักเรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา ส่วนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ เมื่อได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์สามารถพัฒนาทักษะทางสังคมให้สูงขึ้นได้ เพราะเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทั้งด้าน เนื้อหา และด้านกลุ่มสัมพันธ์ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองมีวิธีประเมินผลการทำงานร่วมกัน และการแก้ไขวิธีการทำงานเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบว่ามีผู้ศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่างการจัดการเรียนรู้ทั้งสองวิธีนี้เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ทำให้ไม่พบคำตอบของคำถามทางการวิจัยที่ว่าผลสัมฤทธิ์ทางสังคมว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์และทักษะทางสังคมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา ผู้วิจัยจึงศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ ดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมให้กับผู้เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้รับการพัฒนาเพื่อเป็น คนดี คนเก่ง และมีความสุข และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป
วัตถุประสงค์ในการวิจัย
1.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปาและแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
2.เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา
และแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และทักษะทางสังคม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปาและแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ มีกลุ่มตัวอย่างเป็นห้องเรียนตามสภาพจริง เป้นกลุ่มทดลอง 1 จัดการเรียนรู้แบบซิปปา 1 ห้องเรียน จำนวน 18 คน และกลุ่มทดลอง 2 จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ 1 ห้องเรียน จำนวน 20 คน ใช้เวลาจัดกิจกรรมกาสรเรียนรู้ 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา และ แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ และตอบแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดทักษะทางสังคม และแบบสังเกตพฤติกรรมทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูล และการตรวจสอบสมมติฐาน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ SPSS โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมหลายตัวแปร (MANCOVA) โดยใช้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมก่อนเรียนเป็นตัวแปรร่วม ผู้วิจัยนำเสนอ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
รูปแบบการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบกึ่งทดลอง (Quasi-expiriment design) เป็นการทดลองในห้องเรียนสภาพจริง (Intact group) โดยศึกษากลุ่มทดลองสองกลุ่ม สอบก่อนและหลังการทดลอง (Pretest-Posttest design with nonequivalent qroup)ตามรูปแบบของ คุกส์และแคมเบลล์
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
-แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา
-แผนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
-แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สาระประวัติศาสตร์
-แบบทดสอบวัดทักษะทางสังคม
-แบบสังเกตพฤติกรรมทักษะสังคม
การเก็บรวบรวมข้อมูล
-ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่มโดยใช้แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
-ทดสอบทักษะทางสังคมก่อนเรียน โดยใช้แบบวัดทักษะทางสังคมก่อนเรียนและการสังเกต
พฤติกรรมในการจัดการเรียนรู้ก่อนการทดลอง
-ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการสอนเอง ทั้ง 2 กลุ่มโดยใช้เนื้อหา
เดียวกัน คือ สาระประวัติศาสตร์ ระยะเวลาในการสอนเท่ากัน คือ กลุ่มละ 18 ชั่วโมง
ผลการวิจัย
-ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หลังการเรียนรู้ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปาสูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปามีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
-ทักษะทางสังคมหลังการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบ
กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ สูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา อย่างมีนัยสำคัญทวงสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มสัมพันธ์มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2544). สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
ว.กรุงเทพฯ : กระทรวงฯ
ทศวร มณีศรีขำ. (2539). กลุ่มสัมพันธ์เพื่อการพัฒนาสำหรับครู.กรุงเทพฯ : ภาควิชาการแนะแนวและ
จิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ทิศนา แขมมณี.(2548ข). ศาสตร์การสอน.กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วรรณสวัสดิ์ อุทัยพันธ์. (2540). ผลของกลุ่มสัมพันธ์ที่มีต่อการพัฒนาทักษะทางสังคมของนักศึกษาชั้นปีที่
1 คณะบริหารธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (จิตวิทยาการศึกษา
แลการแนะแนว).กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.ถ่ายเอกสาร.
ศันสนีย์ นาคสงธิ์. (2545). การศึกษาและพัฒนาทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน
วัดประดู่ในทรงธรรม กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพมธ์ ค.ม. (จิตวิทยาการแนะแนว).กรุงเทพฯ :
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2. (2550). แผนปฏิบัติการ ประจำปีการศึกษา 2549
กลุ่ม แควน้อย. พระนครศรีอยุธยา : สำนักงานฯ.
สำนักงานทดสอบทางการศึกษา. (2546). แนวทางการประเมินผลด้วยทางเลือกใหม่. กรุงเทพฯ :
สำนักงานฯ.
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน). (2550). รายงานประเมิน
คุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฉบับร่าง.กรุงเทพฯ : สำนักงานฯ.
สุดารัตน์ ไผ่พงศาวงศ์. (2543). การพัฒนาชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน CIPPA MODEL. เรื่อง เส้นขนานและความคล้ายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. ปริญญานิพนธ์ ค.ม.
(การมัธยมศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร.
สุดารัตน์ สุทธิชาติ. (2547). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา.วิทยานิพนธ์ครู ค.ม. (หลักสูตรและ
การสอน). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.ถ่ายเอกสาร
สุทธิรัตน์ เลิศจตุรวิทย์. (2544). ผลของการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาเพื่อการเรียนรู้
ทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการวิเคราะห์ และเจตคติของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (ประถมศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.ถ่ายเอกสาร.
อัมพา บุ่ยศิริลักษณ์. (2544). ร่วมปฏิรูปการเรียนรู้กับครูต้นแบบ : การปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญ การสอนแบบ CIPPA MODEL. กรุงเทพฯ : ดับบลิว.เจ.พร็อพเพอตี้
วัฒนธรรม และทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปากับแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์. วิทยานิพนธ์ ค.ม.(การจัดการเรียนรู้). พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครรีอยุธยา.อาจารย์ที่ปรึกษา : รองศาสตราจารย์ ดร.สมพร แมลงภู่. ดร.ชิดชัย สนั่นเสียง
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาวัฒนธรรม และทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปากับแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดบางกระทิง (พิศิษฐ์วิทยาคาร) และโรงเรียนวัดโพธิ์(แจ่มวิทยาคาร) จำนวน 38 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 2 ซึ่งเป็นห้องเรียนตามสภาพจริง กลุ่มทดลอง 1 จัดการเรียนรู้แบบซิปปาและกลุ่มทดลอง 2 จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มสัมพันธ์ ระยะเวลาในการทดลอง 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา แผนจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดทักษะทางสังคม และแบบสังเกตพฤตกรรมทักษะทางสังคม ดำเนินการทดลองโดยใช้แผนแบบกึ่งทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนหลายตัวแปร (MANCOVA) โดยใช้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคม ก่อนเรียนเป็นตัวแปรร่วม
ผลการวิจัยพบว่า
1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาวัฒนธรรม หลังการเรียนรู้ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา สูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปามีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
2.ทักษะทางสังคมหลังการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบ
กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ สูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา
ABSTRACT
The purpose of this research was to compare the learning achievement on Socail Studies, religions, and culture , and social skills of Prathomsuksa five student student taught by Cippa Model and Group Process. The sample groups consisted of 38 Prathomsuksa five students at Bangkating and Wat Pho School,studying in the 2 semester of the academic year 2007 under the office of Phranakhon si Ayutthaya Educational Sevice Area 2. The student were divided into two experimental proups. The first group was taught by Cippa Model while the second one was taught by Group Process. Duration of the experiment was 18 hours. The data collection was performed using a teaching plan employing Cippa Model, a teaching plan employing Group Process, a learning achievement test, a social skill test and social behavior observation. It is a semi-experimental research. Statistical analysis was performed in terms of multiple analysis of covariance (MANCOVA) using pre-learning achievement and pre-social skills as covariance.
The research results are revealed as follows :
1.The learning achievement in social Studies, Religions and Culture of Prathomsuksa five
students after teaching by Cippa Model was higher than that of the student after teaching by Group Process with a statistically significant level of .05.
2.The social skills of Prathomsuksa five student after teaching by Group Process was higher
than that of the student after teaching by Cippa Model witch a statistically significant level of .05.
บทนำ
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ได้มุ่งเน้นผู้เรียนทุกคนให้สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด มุ่งปลูกฝังด้านปัญญา พัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียนให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ โดยยึดความแตกต่างระหว่างบุคคลมุ่งเน้นจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงเพื่อก่อเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และด้านสังคมเป็นสำคัญ สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ชุมชน และสังคม (กระทรวงศึกษาธิการ. 2544: 12-13) หลักสูตรในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาวัฒนธรรม มีองค์ประกอบที่สำคัญสี่ประการคือ ประการที่หนึ่งความรู้ ประการที่สอง คือ ทักษะกระบวนการ ได้แก่ทักษะทางวิชาการ มีทักษะในการฟัง พูด อ่าน เขียน คิด และทักษะทางสังคม ได้แก่การร่วมมือและการมีส่วนร่วมในสังคม องค์ประกอบที่สามคือ คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมองค์ประกอบที่สำคัญประการที่สี่คือ บทบาทและความรับผิดชอบของบุคคล (สำนักงานทดสอบทางการศึกษา.2546 : 1-3)
สภาพการจัดการเรียนรู้ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะนักเรียนส่วนมากมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ต่ำกว่าเกณฑ์ ดังรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ (Nation test) ปีการศึกษา 2549 (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2. 2550 : 1) ได้สรุปข้อมูลการประเมินคุณภาพการศึกษาของนักเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ในกลุ่มโรงเรียนแควน้อย พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เท่ากับร้อยละ 69.85 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์พอใช้ และจากรายงานการประเมินคุณภาพภายนอกของโรงเรียน ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 มาตรฐานที่ 6 พบว่านักเรียนมีทักษะในการทำงาน รักการทำงานสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริตอยู่ในระดับดี(สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา 2550 : 10) ซึ่งเมื่อวิเคราะห์รายละเอียดของปัญหานี้พบว่านักเรียนมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และทักษะการแก้ปัญหา ยังอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ทั้งนี้อาจเกิดจากข้อบกพร่องของการจัดการเรียนรู้ หรืออาจเดจากข้อบกพร่องในตัวนักเรียนที่ไม่สามารถนำความรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่มีอยู่มาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือเรียกได้ว่า ขาดทักษะทางสังคม
การจัดการเรียนรู้อีกวิธีหนึ่งคือ แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ (Group Process) ทศวร มณีขำ (2539: 97-98) ได้กล่าวถึงลักษณะของการสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ ว่าเป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้พฤติกรรมจากกลุ่มรู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ รู้จักการทำงานร่วมกันตลอดจนส่งเสริมการเรียนรู้ตามวิถีทางแหงประชาธิปไตย สามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้จากการเรียนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงที่คนเราอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคม อีกทั้งให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะนิสัยส่วนตัวเกี่ยวกับการรู้ถึงวิธี คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น
จากการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ พบว่าการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา เป็นการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ เพราะเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง มีการทำงานเป็นกลุ่ม นักเรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา ส่วนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ เมื่อได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์สามารถพัฒนาทักษะทางสังคมให้สูงขึ้นได้ เพราะเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทั้งด้าน เนื้อหา และด้านกลุ่มสัมพันธ์ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองมีวิธีประเมินผลการทำงานร่วมกัน และการแก้ไขวิธีการทำงานเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบว่ามีผู้ศึกษาเกี่ยวกับการเปรียบเทียบระหว่างการจัดการเรียนรู้ทั้งสองวิธีนี้เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ทำให้ไม่พบคำตอบของคำถามทางการวิจัยที่ว่าผลสัมฤทธิ์ทางสังคมว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์และทักษะทางสังคมนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา ผู้วิจัยจึงศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ ดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมให้กับผู้เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้รับการพัฒนาเพื่อเป็น คนดี คนเก่ง และมีความสุข และเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของประเทศชาติต่อไป
วัตถุประสงค์ในการวิจัย
1.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปาและแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
2.เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา
และแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
วิธีดำเนินการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และทักษะทางสังคม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปาและแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ มีกลุ่มตัวอย่างเป็นห้องเรียนตามสภาพจริง เป้นกลุ่มทดลอง 1 จัดการเรียนรู้แบบซิปปา 1 ห้องเรียน จำนวน 18 คน และกลุ่มทดลอง 2 จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ 1 ห้องเรียน จำนวน 20 คน ใช้เวลาจัดกิจกรรมกาสรเรียนรู้ 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา และ แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ และตอบแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดทักษะทางสังคม และแบบสังเกตพฤติกรรมทางสังคม วิเคราะห์ข้อมูล และการตรวจสอบสมมติฐาน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ SPSS โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมหลายตัวแปร (MANCOVA) โดยใช้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางสังคมก่อนเรียนเป็นตัวแปรร่วม ผู้วิจัยนำเสนอ วัตถุประสงค์ วิธีดำเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
รูปแบบการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบกึ่งทดลอง (Quasi-expiriment design) เป็นการทดลองในห้องเรียนสภาพจริง (Intact group) โดยศึกษากลุ่มทดลองสองกลุ่ม สอบก่อนและหลังการทดลอง (Pretest-Posttest design with nonequivalent qroup)ตามรูปแบบของ คุกส์และแคมเบลล์
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
-แผนการจัดการเรียนรู้แบบซิปปา
-แผนการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
-แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สาระประวัติศาสตร์
-แบบทดสอบวัดทักษะทางสังคม
-แบบสังเกตพฤติกรรมทักษะสังคม
การเก็บรวบรวมข้อมูล
-ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่มโดยใช้แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
-ทดสอบทักษะทางสังคมก่อนเรียน โดยใช้แบบวัดทักษะทางสังคมก่อนเรียนและการสังเกต
พฤติกรรมในการจัดการเรียนรู้ก่อนการทดลอง
-ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการสอนเอง ทั้ง 2 กลุ่มโดยใช้เนื้อหา
เดียวกัน คือ สาระประวัติศาสตร์ ระยะเวลาในการสอนเท่ากัน คือ กลุ่มละ 18 ชั่วโมง
ผลการวิจัย
-ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หลังการเรียนรู้ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปาสูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มทดลองที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปามีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์
-ทักษะทางสังคมหลังการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบ
กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ สูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา อย่างมีนัยสำคัญทวงสถิติที่ระดับ .05 โดยกลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบกลุ่มสัมพันธ์มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปา
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2544). สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
ว.กรุงเทพฯ : กระทรวงฯ
ทศวร มณีศรีขำ. (2539). กลุ่มสัมพันธ์เพื่อการพัฒนาสำหรับครู.กรุงเทพฯ : ภาควิชาการแนะแนวและ
จิตวิทยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ทิศนา แขมมณี.(2548ข). ศาสตร์การสอน.กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วรรณสวัสดิ์ อุทัยพันธ์. (2540). ผลของกลุ่มสัมพันธ์ที่มีต่อการพัฒนาทักษะทางสังคมของนักศึกษาชั้นปีที่
1 คณะบริหารธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (จิตวิทยาการศึกษา
แลการแนะแนว).กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.ถ่ายเอกสาร.
ศันสนีย์ นาคสงธิ์. (2545). การศึกษาและพัฒนาทักษะทางสังคมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน
วัดประดู่ในทรงธรรม กรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพมธ์ ค.ม. (จิตวิทยาการแนะแนว).กรุงเทพฯ :
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2. (2550). แผนปฏิบัติการ ประจำปีการศึกษา 2549
กลุ่ม แควน้อย. พระนครศรีอยุธยา : สำนักงานฯ.
สำนักงานทดสอบทางการศึกษา. (2546). แนวทางการประเมินผลด้วยทางเลือกใหม่. กรุงเทพฯ :
สำนักงานฯ.
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน). (2550). รายงานประเมิน
คุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฉบับร่าง.กรุงเทพฯ : สำนักงานฯ.
สุดารัตน์ ไผ่พงศาวงศ์. (2543). การพัฒนาชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน CIPPA MODEL. เรื่อง เส้นขนานและความคล้ายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2. ปริญญานิพนธ์ ค.ม.
(การมัธยมศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร.
สุดารัตน์ สุทธิชาติ. (2547). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา.วิทยานิพนธ์ครู ค.ม. (หลักสูตรและ
การสอน). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร.ถ่ายเอกสาร
สุทธิรัตน์ เลิศจตุรวิทย์. (2544). ผลของการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปาเพื่อการเรียนรู้
ทางประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการวิเคราะห์ และเจตคติของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (ประถมศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.ถ่ายเอกสาร.
อัมพา บุ่ยศิริลักษณ์. (2544). ร่วมปฏิรูปการเรียนรู้กับครูต้นแบบ : การปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญ การสอนแบบ CIPPA MODEL. กรุงเทพฯ : ดับบลิว.เจ.พร็อพเพอตี้